Openai/693951a7-4388-8001-b488-0179abf0cd3b

Revision as of 05:07, 11 December 2025 by Lukegao (talk | contribs) (by freem.ai...)
(diff) ← Older revision | Latest revision (diff) | Newer revision → (diff)


This conversation was exported from ChatGPT[1]

gpt-5-1-thinking edit

User: วิเคราะห์คอมเมนต์นี้ ถ้าดูจาก Tokyo Disneyland ที่บริษัทญี่ปุ่นลงทุนด้วยตัวเอง 100% แล้ว และจาก Hong Kong Disneyland ที… edit

วิเคราะห์คอมเมนต์นี้ ถ้าดูจาก Tokyo Disneyland ที่บริษัทญี่ปุ่นลงทุนด้วยตัวเอง 100% แล้ว และจาก Hong Kong Disneyland ที่รัฐบาลฮ่องกงไปอ้อนวอน Disney อย่างถึงที่สุด ยอมทำทุกอย่างตามที่ Disney ต้องการ ยอมมอบพื้นที่ให้ตามเงื่อนไข Disney ยอมสร้างรถไฟฟ้าสายพิเศษเข้าไป ยอมร่วมลงทุนในสัดส่วนตามที่ Disney เรียกร้อง และอะไรอื่นๆ อีกมากมายที่รัฐบาลฮ่องกงยอมทำตามหมด จน Disney ยอมมาร่วมลงทุนด้วยในอัตราส่วน 48:52

และถึงอย่างนั้น Hong Kong Disneyland ก็ยังแบกรับการขาดทุนอีกเป็นสิบปี จนเพิ่งมาเห็นตัวเลขกำไรไม่นานมานี้ แต่รัฐบาลฮ่องกงก็ยอมมาตลอด เพราะมองว่าแม้จะขาดทุนในส่วนของดิสนีย์แลนด์ แต่ดิสนีย์คือแม่เหล็กที่จะดึงนักท่องเที่ยวเข้าฮ่องกงอย่างมหาศาลและจะมีผลพลอยได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อฮ่องกงอย่างคิดมูลค่าไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่รัฐบาลฮ่องกงทุ่มสุดตัวด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไกลมาก (ปัจจุบันรัฐบาลฮ่องกงก็ยังเป็นเจ้าของ Hong Kong Disneyland ด้วยสัดส่วนที่เกินครึ่ง)

หันกลับมามองที่ประเทศไทย กล้าบอกเลยว่ารัฐบาลไทยเห็นแก่ตัวและขี้เหนียวครับ ไม่ยอมลงทุนอะไรเองหรอก อ้างว่ารัฐไม่มีงบลงทุน แต่ชอบให้เอกชนมาลงทุนในรูปแบบ Build Transfer Operate เรียกให้เอกชนมาลงทุนทำสัมปทาน แล้วโอนให้เป็นทรัพย์สมบัติรัฐ จากนั้นก็ให้เอกชนกินรายได้อยู่ระยะเวลาหลายสิบปีก่อนที่จะตกกลับมาเป็นของรัฐ ดูอย่างรถไฟฟ้าก็ได้ ให้เอกชนเสี่ยงลงทุนเองหมด หรืออย่างชินคังเซ็นสายเหนือ จะเอาเทคโนโลยีญี่ปุ่นมาสร้างสายเหนือ แต่บอกให้ญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนเอง อ้าว บ้านเมืองตัวเองแท้ๆ ไม่ยอมลงทุนเอง แต่จะให้คนอื่นมาลงทุนให้ พอเค้ามองว่าไม่คุ้มทุน เค้าก็ไม่มาหรอกครับ แต่ครั้นไทยจะไปเอื้อให้เอกชนมาทำ ยอมลดแลกแจกแถม ยอมอ่อนข้อกฎหมายให้เอกชนเต็มที่ รับรองว่ามีคนไปร้องศาลปกครองว่ารัฐเอื้อประโยชน์ให้เอกชนอีก หนักกว่านั้นศาลสั่งยกเลิกสัญญา เดือดร้อนเอกชนที่หลวมตัวเข้ามาอีก กฎหมายบ้านเรามันตึงมากเกินไป การบังคับใช้กฎหมายก็วัดเป็นไม้บรรทัดจนไม่ดูความเหมาะสม สิ่งเหล่านี้มันด้อยพัฒนาซะจนไม่เอื้อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าเลย

ดูจากสิ่งที่รัฐบาลฮ่องกงทำ ต้องยอมแก้กฎหมาย ต้องยอมเอกชนเฉพาะราย ต้องให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่เอกชนเป็นกรณีพิเศษ แล้วต้องควักเงินรัฐลงทุนอีกครึ่งนึง กว่าดิสนีย์จะยอมลงทุนด้วย กว่าจะกลายมาเป็นดิสนีย์แลนด์ แล้วก็ยังต้องขาดทุนอีกเป็นสิบๆ ปี....รัฐบาลไทยพร้อมทำแบบฮ่องกงได้มั้ยครับ แล้วถ้าทำแล้วธุรกิจจะมั่นคงพอชนิดที่ไม่มีศาลปกครองมายุ่งย่ามว่ารัฐลงทุนโดยเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนได้มั้ยครับ ประชาชนจะรับได้มั้ยว่าธุรกิจดิสนีย์แลนด์นี้จะต้องขาดทุนอีกเป็นสิบๆ ปี (แต่บอกเลยว่าผลประโยชน์ทางอ้อมต่อการท่องเที่ยวบ้านเรา มหาศาลมากแน่นอน) ถ้ารัฐบาลพร้อม ประชาชนพร้อม กฎหมายบ้านเมืองพร้อม ก็สู้บากหน้าไปอ้อนวอนขอร้องดิสนีย์ได้เลยครับ แต่ถ้าไม่พร้อม ก็เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ได้เลยครับ

Assistant: คอมเมนต์นี้มีทั้งส่วนที่ “ข้อมูลจริงพอสมควร” กับส่วนที่เป็น “การตีความ+อารมณ์จัด” ปนกันอยู่ เดี๋ยวแยกทีละชั้นนะ edit

คอมเมนต์นี้มีทั้งส่วนที่ “ข้อมูลจริงพอสมควร” กับส่วนที่เป็น “การตีความ+อารมณ์จัด” ปนกันอยู่ เดี๋ยวแยกทีละชั้นนะ

1. ส่วนที่คอมเมนต์เล่า “ค่อนข้างตรงข้อเท็จจริง” edit

Tokyo Disneyland edit
  • Tokyo Disneyland/DisneySea ถูกสร้างและบริหารโดยบริษัทญี่ปุ่นชื่อ Oriental Land Company (OLC) ที่ลงทุนเอง 100% ฝั่ง Disney แค่ขายลิขสิทธิ์แบรนด์+ออกแบบ แต่ไม่ได้ถือหุ้นในสวนสนุกเลย Wikipedia[2] → ตรงกับที่คอมเมนต์บอกว่า “ญี่ปุ่นลงทุนเอง 100%”
Hong Kong Disneyland edit
  • Hong Kong Disneyland ดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุน Hongkong International Theme Parks (HKITP) ผู้ถือหุ้นคือ - รัฐบาลฮ่องกง (HKSAR) - The Walt Disney Company
  • โครงสร้างเดิม: รัฐบาลฮ่องกงประมาณ 57% / Disney 43% จากการที่รัฐบาลลงเงิน-ถมทะเล-ทำอินฟราฯ มากกว่าดิสนีย์หลายเท่า siteselection.com[3]
  • ปัจจุบัน หลังปรับโครงสร้างและเพิ่มทุนหลายรอบ สัดส่วนเปลี่ยนเป็น รัฐบาลฮ่องกง 52% / Disney 48% Hong Kong Disneyland[4] → ตัวเลข 48:52 ที่คอมเมนต์พูดถือว่า “โดยรวมใช้ได้” แค่ไม่ได้เล่าไทม์ไลน์ว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลถือมากกว่านี้
เรื่อง “ขาดทุนเป็นสิบปีแล้วเพิ่งกำไรไม่นานนี้” edit

ข้อมูลจริงคร่าว ๆ คือ

  • HK Disneyland เปิดปี 2005
  • ขาดทุนต่อเนื่องช่วงแรกหลายปี
  • เคยกลับมากำไรแถว ๆ ปีงบประมาณ 2012–2014 แล้วกลับไปขาดทุนอีกหลายปีช่วงหลัง (โดยเฉพาะก่อน/ระหว่างโควิด) Wikipedia[5]
  • แล้วเพิ่งประกาศ “กำไรสุทธิสถิติสูงสุด” ประมาณปีงบ 2023–2024 หลังจาก “ขาดทุนติดต่อกัน 9 ปี” ตัวเลขกำไรสุทธิราว 800 กว่าล้านเหรียญฮ่องกง Hong Kong Disneyland[6]

ดังนั้นประโยคแนว ๆ “ขาดทุนเป็นสิบปี เพิ่งเห็นตัวเลขกำไรไม่นานนี้” ถือว่าตรงในเชิงภาพใหญ่ แต่อาจทำให้เข้าใจผิดว่า “ไม่เคยกำไรเลยจนถึงปัจจุบัน” ทั้งที่จริงมีช่วงสั้น ๆ ที่เคยมีกำไรแล้วกลับไปแดงอีก

2. เหตุผลเศรษฐกิจที่คอมเมนต์ยกมาถือว่า “มีน้ำหนัก” edit

แนวคิดของคอมเมนต์คือ

รัฐบาลฮ่องกงยอมขาดทุนในดีลดิสนีย์แลนด์ เพราะมองว่า
“ขาดทุนในโปรเจกต์ แต่กำไรประเทศ”
จากเม็ดเงินท่องเที่ยว การจ้างงาน ภาษี ภาพลักษณ์ ฯลฯ

อันนี้ไม่ใช่เรื่องมโนเอง แต่เป็นตรรกะที่รัฐบาลฮ่องกงใช้สื่อสารจริง ๆ ตั้งแต่ตอนดีลดิสนีย์แลนด์ใหม่ ๆ ว่าเป็นยุทธศาสตร์ดึงนักท่องเที่ยวและสร้างแบรนด์เมืองท่องเที่ยวระดับโลก รัฐบาลยอมลงเงินก้อนใหญ่ในฐานะ “อินฟราฯ ด้านท่องเที่ยว” และตามมาด้วยการอัดเงินเพิ่มทุน/ขยายสวนอีกหลายรอบในฐานะการลงทุนระยะยาวของรัฐ app7.legco.gov.hk[7]

พูดง่าย ๆ คือ

  • โปรเจกต์สวนสนุก อาจไม่สวยหรูในงบการเงินช่วงแรก
  • แต่ ผลต่อเศรษฐกิจเมือง (โรงแรม ร้านค้า การบิน การจ้างงาน ภาษี) อาจคุ้มค่าในมุมรัฐบาล

ตรงนี้คือ “จุดแข็ง” ของคอมเมนต์ ที่พยายามชี้ให้เห็นว่า ถ้าจะเอา Disney มาเป็นแม่เหล็กใหญ่ รัฐต้อง “กล้าคิดแบบพอร์ตโฟลิโอประเทศ” ไม่ใช่ดูแค่กำไรขาดทุนของสวนสนุกอย่างเดียว

3. แต่คอมเมนต์ก็ “โรแมนติคฮ่องกง” และ “ด่ารัฐบาลไทยแรงไปหน่อย” edit

คำอย่าง

“รัฐบาลไทยเห็นแก่ตัวและขี้เหนียว”
“กฎหมายบ้านเราตึงเกินไป ไม่เอื้อความเจริญ”

เป็น value judgement/อคติ มากกว่าจะเป็นการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง

(1) ฮ่องกงเองก็มีดราม่าหนักกับดีลดิสนีย์ edit

ไม่ใช่ว่าคนฮ่องกงปรบมือทุกคน

  • มีการวิจารณ์ว่ารัฐลงเงินมากกว่าดิสนีย์หลายเท่า แต่ได้หุ้นแค่ ~57% และดิสนีย์ยังเก็บค่าลิขสิทธิ์/ค่าบริหารไปอีก ถือเป็นดีลที่ “ใจดีเกิน” กับบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ eScholarship[8]
  • ตอนสวนยังขาดทุน มีคนเสนอให้ “เลิกดันทุรัง” หรือเอาที่ดินไปทำอย่างอื่น เช่น ที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา เพราะฮ่องกงมีปัญหาที่อยู่อาศัยหนักมากเอง รัฐบาลยังเคยกดดันให้ดิสนีย์คืนที่ดินส่วนขยายเพื่อเอาไปทำบ้านพัก TIME[9]

แปลว่า “โมเดลฮ่องกง” เองก็มีทั้งคนที่มองว่า visionary และคนที่มองว่าเป็นการเอาภาษีประชาชนไปเสี่ยงกับความฝันของบริษัทต่างชาติ

(2) ไทย “ไม่กล้าทุ่มแบบฮ่องกง” = แย่ เสมอไปจริงไหม? edit

คอมเมนต์ตีความว่า

ไม่กล้าลงทุนใหญ่ๆ เพื่อดึงเมกะโปรเจกต์ = เห็นแก่ตัว/ขี้เหนียว/ด้อยพัฒนา

แต่ในอีกมุมหนึ่ง การ ไม่ยอมล็อกอินเวสต์เมนต์มหาศาล กับบริษัทเดียว ก็อาจเป็น:

  • ความระมัดระวังด้านหนี้สาธารณะและงบลงทุน
  • การมองว่าตลาดท่องเที่ยวไทย “มี demand อยู่แล้ว” (ทะเล วัด อาหาร ฯลฯ) การจ่ายแพงเพื่อซื้อ IP ดิสนีย์อาจไม่จำเป็นเท่ากับประเทศที่ต้องสร้างแม่เหล็กใหม่
  • การกังวลเรื่อง perception ว่า “เอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่ต่างชาติ” มากไป ในบริบทไทยที่เรื่อง corruption/ฮั้วสัมปทานเป็น topic ไวต่อสังคม

ซึ่งตรงนี้ “จะบอกว่าไทยผิดเต็มๆ” ก็อาจง่ายไปหน่อย มันคือ trade-off ทางนโยบายมากกว่า

4. เรื่องกฎหมาย-ศาลปกครองที่คอมเมนต์พูด edit

คอมเมนต์มองว่า

  • ถ้ารัฐให้สิทธิพิเศษเฉพาะรายแบบฮ่องกง
  • หรือแก้กฎหมายเพื่อดีลเดียว
  • สุดท้ายจะมีคนฟ้องศาลปกครอง และศาลอาจสั่งโมฆะ ทำให้เอกชนเดือดร้อน

อันนี้สะท้อนปัญหาจริงบางส่วนในไทยคือ

  • กรอบกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง / PPP / สัมปทาน เขียนมาเพื่อป้องกัน “การเอื้อประโยชน์เฉพาะราย”
  • ศาลปกครองทำหน้าที่คุมว่ารัฐใช้อำนาจถูกต้องไหม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม

ข้อดีคือ กันการแจกแต้มให้เอกชนหน้าเดิม ข้อเสียคือ ถ้ากฎหมาย/ระเบียบเขียนแข็งไป + การตีความอนุรักษนิยมเกิน ก็ทำให้ดีลพิเศษ/ดีลเชิงยุทธศาสตร์ทำยากมาก

แต่ก็ต้องพูดให้แฟร์ว่า ถ้ารัฐ “อยากเล่นดีลดิสนีย์จริงจัง” ก็ต้อง

  1. เขียนกฎหมายเฉพาะทางให้ชัดว่าเป็นโครงการเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ
  2. ผ่านสภา เปิดดีเบตและอธิบายผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างโปร่งใส
  3. ตั้งกรอบ PPP ที่ระบุชัดเจนว่ารัฐได้อะไรเอกชนได้อะไรอย่างสมเหตุสมผล

ถ้าทำครบและโปร่งใส โอกาสที่ศาลจะสั่งยกเลิก เพราะ “เอื้อเอกชนโดยไม่ชอบ” ก็ลดลงมาก (แม้จะไม่ใช่ศูนย์)

5. ถ้าไทยจะ “เอาดิสนีย์แลนด์” แบบฮ่องกงจริง ๆ ต้องตอบคำถามอะไรบ้าง edit

อันนี้เป็นส่วนที่คอมเมนต์สรุปว่า “ถ้าไม่พร้อมก็เลิกฝัน” ซึ่งแรง แต่ก็ชี้ประเด็นถูกหลายข้อ เราขอเรียบเรียงใหม่ให้เป็น checklist:

  1. พร้อมรับ “ขาดทุนโครงการ” นาน 10+ ปีไหม - ทั้งในงบของบริษัทร่วมทุน - และในสายตาประชาชน/ฝ่ายค้าน/สื่อ เวลาเห็นตัวเลขขาดทุนปีแล้วปีเล่า
  2. เชื่อจริง ๆ ไหมว่าเม็ดเงินท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น “เกินคุ้ม” กับเงินภาษีที่อัดลงไป - ต้องมีการศึกษาเชิงเศรษฐศาสตร์แบบจริงจัง (cost–benefit analysis, spillover effects ฯลฯ) - ไม่ใช่แค่ความรู้สึกว่า “ดิสนีย์แลนด์ = ดีแน่”
  3. กฎหมายและสังคมไทยรับได้ไหมกับดีล “ให้สิทธิพิเศษเฉพาะราย” - จะ support ยังไงไม่ให้โดนมองว่า “อุ้มทุน” - วางกลไกตรวจสอบ/เปิดเผยสัญญาอย่างไร
  4. ที่ดิน+โครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้ “มีค่าในทางเลือกอื่นแค่ไหน” - ที่ดินริมน้ำ/ใกล้เมืองใหญ่ ถ้าไม่ทำดิสนีย์แลนด์ จะเอาไปทำอะไรได้อีก (บ้าน, สวนสาธารณะ, เขตเศรษฐกิจ ฯลฯ)
  5. อำนาจต่อรองของไทยกับ Disney แกร่งพอไหม - จะกลายเป็นดีลที่เรา “ลงเงินมากกว่า ถือหุ้นน้อยกว่า แล้วยังต้องจ่ายค่า license กลับไปให้เขาอีก” แบบที่นักการเมืองฮ่องกงบางส่วนด่ารัฐตัวเองหรือเปล่า Accidental Travel Writer[10]

6. สรุปภาพรวม: คอมเมนต์นี้ “ชี้โจทย์ถูก แต่ด่าไทยแรงไป” edit

ข้อดีของคอมเมนต์

  • หยิบกรณีศึกษาจริง (HKDL, TDL) มาพูด ไม่ได้มโนจากอากาศ
  • เข้าใจหลักคิดเรื่อง “รัฐยอมลงทุน/ขาดทุนระยะยาวเพื่อผลประโยชน์ทางอ้อม” ได้ค่อนข้างตรง
  • ตั้งคำถามดีว่า ถ้าไทยอยากได้โปรเจกต์ระดับดิสนีย์จริง ๆ - รัฐบาลพร้อมจะกล้าลงทุนไหม - ประชาชนพร้อมจะรับ “ขาดทุนบนกระดาษ” แลกกับกำไรทางเศรษฐกิจภาพใหญ่ไหม - กฎหมาย/ศาล/สังคมไทยพร้อมรับดีลพิเศษแบบนี้ไหม

ข้อที่ “เบี้ยว” หรือ oversimplify

  • โรแมนติคฮ่องกงไปหน่อย ทั้งที่ดีลนี้ในฮ่องกงเองก็โดนประชาชน-นักการเมืองวิจารณ์หนักมากตั้งแต่วันแรก
  • ตีความไทยว่า “เห็นแก่ตัว ขี้เหนียว ด้อยพัฒนา” จากการไม่เล่นดีลเสี่ยงสูงแบบนี้ ทั้งที่จริงมันมีข้อจำกัดเรื่องการเมือง การคลัง และความไวของสังคมต่อการเอื้อเอกชน
  • ทำให้เหมือนมีแค่สองทางเลือกคือ - กล้าทำแบบฮ่องกง = วิสัยทัศน์ไกล - ไม่กล้าทำ = เลิกฝัน ในความเป็นจริง มันยังมีตัวเลือกอื่น เช่น โปรเจกต์ theme park ขนาดกลาง ใช้ IP แบบอื่น หรือใช้เงินรัฐพัฒนาสิ่งที่ “คุ้มกับบริบทไทย” มากกว่า

ถ้าจะสรุปสั้น ๆ ก็คือ:

คอมเมนต์นี้ “ดีในฐานะการเขย่าความคิด” ให้คนเห็นว่า เมกะโปรเจกต์แบบดิสนีย์แลนด์ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง
แต่ถ้าเอาไปใช้เป็นข้อสรุปทางนโยบายแบบตรง ๆ เลย ก็ยังต้องใส่ nuance เรื่องการเมือง การคลัง กฎหมาย และความพร้อมของสังคมไทยเพิ่มอีกหลายชั้นครับ

References edit

  1. "วิเคราะห์การลงทุนสวนสนุก". ChatGPT. Retrieved 2025-12-11.
  2. "Wikipedia". en.wikipedia.org. Retrieved 2025-12-11.
  3. "siteselection.com". siteselection.com. Retrieved 2025-12-11.
  4. "Hong Kong Disneyland". Hong Kong Disneyland. Retrieved 2025-12-11.
  5. "Wikipedia". en.wikipedia.org. Retrieved 2025-12-11.
  6. "Hong Kong Disneyland" (PDF). Hong Kong Disneyland. Retrieved 2025-12-11.
  7. "app7.legco.gov.hk" (PDF). app7.legco.gov.hk. Retrieved 2025-12-11.
  8. "eScholarship" (PDF). escholarship.org. Retrieved 2025-12-11.
  9. "TIME". time.com. Retrieved 2025-12-11.
  10. "Accidental Travel Writer". Accidental Travel Writer. Retrieved 2025-12-11.