Jump to content
Main menu
Main menu
move to sidebar
hide
Navigation
Main page
Recent changes
Random page
freem
Search
Search
Appearance
Create account
Log in
Personal tools
Create account
Log in
Pages for logged out editors
learn more
Contributions
Talk
Editing
Openai/69461e6a-836c-8001-93fc-fb54a8a637bc
(section)
Add languages
Page
Discussion
English
Read
Edit
Edit source
View history
Tools
Tools
move to sidebar
hide
Actions
Read
Edit
Edit source
View history
General
What links here
Related changes
Special pages
Page information
Appearance
move to sidebar
hide
Warning:
You are not logged in. Your IP address will be publicly visible if you make any edits. If you
log in
or
create an account
, your edits will be attributed to your username, along with other benefits.
Anti-spam check. Do
not
fill this in!
=== ## === ===== ในสังคมที่ยึดหลักนิติธรรม คำพิพากษาศาลสูงสุดควรเป็นจุดสิ้นสุดของข้อพิพาทและเป็นหลักประกันความเป็นธรรมแก่ประชาชน แต่กรณีท่อส่งก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กลับกลายเป็นตัวอย่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ===== ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อปี 2550 ในคดีหมายเลขแดง ฟ.35/2550 วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า ท่อส่งก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ที่ประกอบกันเป็นระบบท่อส่งก๊าซ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต้องโอนคืนกระทรวงการคลัง การวินิจฉัยนี้ไม่เพียงแต่เป็นข้อกฎหมาย แต่ยังสะท้อนเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญที่ปกป้องประโยชน์สาธารณะ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเส้นทางต่อมาหลังคำพิพากษา เรากลับพบว่าแทนที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์ ค่าไฟฟ้ากลับแพงขึ้นจากการผลักภาระค่าผ่านท่อเพิ่มอีกหลายพันล้านบาทต่อปี ขณะที่ ปตท.มีกำไรสูงเกินสมควร ปัญหานี้จึงไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาททางกฎหมาย แต่เป็นเรื่องที่สะท้อนการบิดเบือนของกลไกกำกับดูแลและกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ===== หลังคำพิพากษา ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้บังคับคดี โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม และ 9 ธันวาคม 2551 สตง.ประชุมร่วมกับ ปตท. และทักท้วงอย่างเป็นทางการว่า ปตท.ยังไม่คืนทรัพย์สินครบถ้วน เนื่องจากคืนเฉพาะบางส่วนของโครงการท่อบนบก 3 เส้นทาง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 ธันวาคม 2550 ซึ่งไม่ตรงกับคำพิพากษาที่สั่งให้คืนทั้งระบบ ===== อย่างไรก็ตาม ปตท.ได้ยื่นรายงานต่อศาลเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2551 ว่าได้คืนทรัพย์สินครบถ้วนแล้ว และเพียงวันถัดมา ศาลก็มีคำสั่งเสร็จการบังคับคดีทันที โดยมิได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสตง.อย่างรอบด้าน ต่อมา ผู้ฟ้องคดีคือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อ 3 มีนาคม 2552 ขอให้ทบทวนคำสั่งเสร็จการบังคับคดี แต่ศาลก็ยกคำร้องโดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นการคืนทรัพย์สินไม่ครบถ้วนอย่างแท้จริง กระบวนการนี้จึงสะท้อน ความบกพร่องเชิงโครงสร้างของการบังคับคดีปกครอง ซึ่งเอื้อให้เอกชนสามารถใช้รายงานฝ่ายเดียวเป็นเกราะกำบังทางกฎหมาย ===== ในขณะที่ปัญหาการคืนทรัพย์สินยังคาราคาซัง ปตท.กลับเดินหน้าขอขึ้นค่าผ่านท่อก๊าซ โดยยื่นคำขอต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2551 ===== บันทึกการประชุม กกพ. 5 ครั้ง ที่ใช้พิจารณาเรื่องนี้ไม่ปรากฏแม้แต่ถ้อยคำเดียวเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด มติและข้อทักท้วงของสตง. หรือข้อเรียกร้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กกพ.กลับพิจารณาโดยอ้างหลักเกณฑ์ทางเทคนิคการคำนวณตามคู่มือของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และอ้างว่าได้ “รับฟังผู้มีส่วนได้เสีย” แล้ว แต่ในความเป็นจริง ผู้มีส่วนได้เสียตัวจริงคือประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ และองค์กรผู้บริโภคที่ฟ้องคดี กลับไม่เคยถูกเชิญให้เข้ามามีส่วนร่วม กระบวนการรับฟังถูกลดรูปเหลือเพียงการเปิดช่องทางให้แสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ภายในเวลาจำกัด ซึ่งแทบไม่มีใครเข้าถึงได้จริง การตีความเช่นนี้จึงเป็นเพียงการสร้างภาพว่ามีส่วนร่วม ทั้งที่ในสาระคือ การปิดกั้นเสียงของผู้เสียหายโดยตรง ===== หัวใจของปัญหานี้อยู่ที่การที่ทั้งปตท., กกพ. และกระทรวงพลังงาน ปฏิบัติในทางพฤตินัยว่า ระบบท่อส่งก๊าซเป็นทรัพย์สินของปตท. ทั้งที่ศาลวินิจฉัยแล้วว่าต้องเป็นของแผ่นดิน ===== เมื่อกกพ.อนุมัติขึ้นค่าผ่านท่อ รายได้จากค่าบริการดังกล่าวไม่ได้ถูกส่งเข้าคลัง แต่กลับกลายเป็นรายได้ของปตท.โดยตรง เท่ากับรัฐและประชาชนเสียผลประโยชน์ซ้ำสอง คือ (1) ไม่ได้รับทรัพย์สินกลับคืนครบถ้วน และ (2) ต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นจากค่าผ่านท่อ นี่คือการตีความบิดเบือนที่ขัดต่อคำพิพากษาและมติของสตง.โดยตรง และสะท้อนถึง Regulatory Capture หรือการที่หน่วยงานกำกับดูแลถูกครอบงำโดยทุนขนาดใหญ่ ===== การปรับขึ้นค่าผ่านท่อครั้งนั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าไฟฟ้า ประชาชนต้องจ่ายแพงขึ้นกว่า 4,500 ล้านบาทต่อปี ทั้งที่ค่าผ่านท่อเดิมก็ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนแล้วถึงราว 3,000 ล้านบาทต่อปี ===== ในขณะเดียวกัน รายงานการเงินของปตท.ระบุว่าธุรกิจท่อส่งก๊าซมี อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 45% ซึ่งถือว่าเกินสมควรอย่างยิ่งสำหรับกิจการผูกขาดที่ใช้ทรัพย์สินสาธารณะ หากเป็นในประเทศที่มีกลไกกำกับดูแลเข้มแข็ง รายได้ลักษณะนี้ต้องถูกส่งคืนคลังหรือใช้ลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชน แต่ในกรณีไทยกลับกลายเป็นกำไรเอกชนที่สูงผิดปกติ ผลที่เกิดขึ้นคือประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ปตท.และผู้ถือหุ้นกลับได้กำไรเพิ่มขึ้นมหาศาล ===== มติของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มี ฐานะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 223 (รธน.2550) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 จึงมีศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่าพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงานที่ใช้โดยกกพ. ===== การที่กกพ.และกระทรวงพลังงานเพิกเฉยต่อมติดังกล่าว ถือเป็น การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และยังเอื้อประโยชน์ให้เอกชน ขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นความผิดทางอาญาของเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ยังเป็นกรณีตัวอย่างของ การทุจริตเชิงนโยบาย (Policy Corruption) ที่หน่วยงานของรัฐใช้อำนาจหรือการตีความเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่ทุนใหญ่ โดยผลักภาระให้ประชาชน ===== ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) ซึ่งกำหนดให้รัฐต้อง ===== * ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน (มาตรา 13) * ดำเนินมาตรการป้องกันการทุจริตโดยหน่วยงานของรัฐ * ให้ความคุ้มครองและเยียวยาผู้เสียหายจากการทุจริต แต่การดำเนินการของกกพ.และกระทรวงพลังงานกลับตรงกันข้าม คือ อ้างว่ารับฟังความคิดเห็น แต่ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมจริง และไม่คืนประโยชน์ที่ควรเป็นของสาธารณะ นี่ไม่เพียงแต่ขัดต่อกฎหมายภายใน แต่ยังขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยมีต่อประชาคมโลกด้วย ===== คำว่า “การรับฟังผู้มีส่วนได้เสีย” ควรหมายถึงการเปิดให้ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงได้เข้ามามีบทบาท แต่ในทางปฏิบัติ กลับถูกใช้เป็นเพียง เครื่องมือสร้างภาพ เพื่อให้การตัดสินใจที่เอื้อประโยชน์แก่ทุนใหญ่ดูมีความชอบธรรม ===== การประชุมและเอกสารทางการของกกพ.สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ไม่มีการอ้างถึงข้อมูลสำคัญจากศาล สตง. และผู้บริโภคเลย แต่เลือกที่จะยึดเฉพาะหลักเกณฑ์ที่สามารถใช้อนุมัติให้ปตท.เก็บค่าผ่านท่อได้ต่อไป การ “ฟัง” ในที่นี้จึงไม่ใช่การฟังจริง แต่เป็นการเลือกฟังเฉพาะเสียงที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ นี่คือตัวอย่างชัดเจนของ Regulatory Capture ที่ทำให้หน่วยงานกำกับกลายเป็นเพียงตรายางของเอกชน ===== กรณีค่าผ่านท่อก๊าซสะท้อนภาพรวมของวิกฤติหลักนิติธรรมไทย ที่คำพิพากษาศาลสูงสุดถูกเพิกเฉย มติองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญถูกละเลย และเสียงของประชาชนถูกตัดออกจากกระบวนการตัดสินใจ ผลลัพธ์คือการเอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่ ขณะที่ประชาชนต้องแบกรับภาระ ===== ทางออกจึงต้องประกอบด้วย 3 มาตรการสำคัญ # ตรวจสอบความรับผิด ของกกพ., กระทรวงพลังงาน และผู้บริหารปตท.ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นหน้าที่ # คืนประโยชน์ให้ประชาชน โดยการทบทวนอัตราค่าผ่านท่อและนำรายได้ที่เกิดขึ้นส่งคลัง # ปฏิรูประบบกำกับดูแลพลังงาน ให้มีความโปร่งใส มีการมีส่วนร่วมของประชาชน และคุ้มครองผู้เปิดโปงการทุจริตอย่างแท้จริง หากไม่ทำเช่นนี้ คำว่า “การรับฟังผู้มีส่วนได้เสีย” ก็จะยังคงเป็นเพียงวาทกรรมกลวง ๆ ที่ถูกใช้บังหน้าการแสวงหากำไรบนความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป 📌 ความยาวบทความฉบับนี้ หากจัดหน้าปกติ (ฟอนต์ TH Sarabun 16pt, ย่อหน้าปกติ) จะได้ประมาณ 4–5 หน้า A4 คุณอยากให้ผมช่วย ทำเป็นไฟล์ .docx หรือ .pdf พร้อมจัดรูปแบบสวยงาม (หัวข้อ/ย่อหน้า/เชิงอ้างอิง) ไว้ใช้ยื่นหรือเผยแพร่เลยไหมครับ?
Summary:
Please note that all contributions to freem are considered to be released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 4.0 (see
Freem:Copyrights
for details). If you do not want your writing to be edited mercilessly and redistributed at will, then do not submit it here.
You are also promising us that you wrote this yourself, or copied it from a public domain or similar free resource.
Do not submit copyrighted work without permission!
Cancel
Editing help
(opens in new window)